Categories
สูตรอาหาร

รู้จักเมนู ต้มกะทิ สายบัว ปลาทู อาหารไทยโบราณที่ควรอนุรักษ์ พร้อมแจกสูตรการทำง่าย ๆ 

ต้มกะทิ สายบัว

สายบัวเป็นวัตถุดิบชนิดหนึ่งที่คนไทยในอดีตนิยมนำมาประกอบอาหาร โดยเฉพาะเมนูแกงต่าง ๆ จะนิยมใช้สายบัวเป็นวัตถุดิบหลัก เช่นเดียวกับเมนู ต้มกะทิ สายบัว ถือเป็นหนึ่งในเมนูอาหารไทยโบราณที่ยังคงหาทานได้ในปัจจุบัน แต่การจะหาร้านที่ปรุงได้ถูกปากถูกใจอาจเป็นเรื่องยาก เพราะสูตรการทำในปัจจุบันจะแตกต่างจากในอดีตอยู่พอสมควร ฉะนั้นการทำทานเองจึงเป็นสิ่งที่น่าจะตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดี 

ต้มกะทิ สายบัว เมนูแกงไทยโบราณที่น่าลอง อร่อยและมีดีกว่าที่คิด

ต้มกะทิ สายบัว

แกงสายบัว ใส่กะทิ เป็นอาหารประเภทแกงของไทยที่ได้รับความนิยมมากในอดีต สำหรับรสชาติของอาหารชนิดนี้จะมีรสเค็มจากปลาทู และรสหวานมันจากกะทิ เรียกได้ว่าเป็น อาหาร ไทย ที่ใช้เครื่องปรุงค่อนข้างน้อย อีกทั้งยังมีสูตรเครื่องแกงแบบง่าย ๆ ที่สามารถทำได้ด้วยตัวเอง จึงเป็นเรื่องที่ดีถ้าหากคุณอยากจะทำเมนู ต้มกะทิสายบัว ทานเอง แม้ว่าจะเคยเป็น เมนู อาหาร ไทย ยอด นิยม ก็ตาม แต่ในปัจจุบันสูตรการปรุงอาจเปลี่ยนไปจากเดิม 

เผยสูตร ต้มกะทิ สายบัว ปลาทู ตามแบบฉบับคนโบราณ ทำทานในยุคปัจจุบันได้ง่าย ๆ

ต้มกะทิ สายบัว

เมื่อเทียบกับเมนูแกงอื่น ๆ ต้องบอกว่า แกง สายบัว ใส่ ปลา ทู เป็นหนึ่งในเมนูที่ใช้วัตถุดิบและเครื่องปรุงน้อยมาก ๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้หมายความว่ารสชาติจะธรรมดาเสมอไป จัดเป็นอาหารไทยโบราณที่มีกลิ่นหอมของกะทิ มีรสหวานมันและเค็ม กลมกล่อม อาจไม่ใช่เมนู อาหาร ไทย ที่ ฝรั่ง ชอบ แต่ถ้าใครชอบกลิ่นหอมของกะทิก็น่าสนใจอยู่ไม่น้อย มาดูกันว่าสูตรการทำต้มกะทิ สายบัว ใส่ปลาทู จะมีวิธีทำง่ายเพียงใด 

วัตถุดิบและส่วนผสม

  1. สายบัว (หั่นท่อนยาว 2 นิ้วครึ่ง) 500 กรัม
  2. มะดัน/ตะลิงปลิง 2 ลูก
  3. ปลาทูนึ่ง 2-3 ตัว
  4. กะทิกล่อง 1,000 มิลลิลิตร
  5. น้ำตาลปี๊บ 3 ช้อนชา
  6. เกลือ 2 ช้อนชา
ต้มกะทิ สายบัว

ส่วนผสมเครื่องแกง

  1. หอมแดง 1/2 ถ้วย
  2. กะปิ 1 ช้อนโต๊ะ
  3. พริกไทยป่น 1/2 ช้อนชา

วิธีการต้มกะทิสายบัวปลาทู

ต้มกะทิ สายบัว
  1. ขั้นตอนแรกในการทำเมนูต้มกะทิสายบัวปลาทูเริ่มทำเครื่องแกง นำหอมแดงมาหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ จากนั้นนำไปตำรวมกันกับกะปิและพริกไทยป่น ไม่ต้องตำให้ละเอียดมาก เสร็จแล้วตักใส่ถ้วย พักไว้
  2. ขั้นตอนต่อมาให้ต้มกะทิด้วยไฟแรงจนเดือด จากนั้นให้ใส่เครื่องแกงลงไป แล้วคนให้ส่วนผสมเข้ากัน ตามด้วยการปรุงรสด้วยเกลือและน้ำตาลปี๊บ
  3. เมื่อกะทิเริ่มเดือด จากนั้นให้ใส่สายบัวลงไปและกดให้จมน้ำกะทิ ต่อมาใส่มะดันหรือตะลิงปลิงลงไป ต้มให้สุกพร้อมกับสายบัว
  4. เตรียมปลาทูนึ่งสำหรับขั้นตอนต่อไป โดยเริ่มจากการตัดหางปลาทูออกเล็กน้อย และใส่ลงไปในหม้อ ต้มจนสุกและปิดแก๊ส ถือเป็นอันเสร็จสิ้นเมนูอาหารไทยโบราณ

การเลือกกะทิให้เหมาะสม ช่วยให้เมนู ต้มกะทิ สายบัว หอมอร่อยและกลมกล่อมแบบสูตรดั้งเดิม

ต้มกะทิ สายบัว

วิธี แกง สายบัว ใส่ ปลา ทู ให้อร่อยตามแบบสูตรดั้งเดิม จำเป็นต้องเลือกใช้วัตถุดิบให้เหมาะสม โดยเฉพาะการเลือกกะทิ ในอดีตเมนูนี้ถือเป็น อาหาร ไทย ยอด นิยม ซึ่งจะใช้กะทิสดในการปรุง แต่ทว่าในปัจจุบันการใช้กะทิสำเร็จรูปนั้นช่วยเพิ่มความสะดวกต่อการทำอาหารได้มากขึ้น แต่เราควรเลือกกะทิสำเร็จรูปที่ทำจากกะทิแท้ 100% เพราะดีต่อสุขภาพและให้กลิ่นหอมแบบธรรมชาติอีกด้วย เมื่อนำมาทำเมนู ต้มกะทิสายบัว แล้วจะได้รสชาติใกล้เคียงกับสูตรดั้งเดิมมากขึ้น 

ต้มกะทิสายบัว ปลาทู เมนูแกงที่มีรสเปรี้ยวแฝงอยู่เล็กน้อย ตัดกับรสเค็มหวานมันได้ดี

ต้มกะทิ สายบัว

ทุกวันนี้เรายังสามารถพบเห็นเมนู แกง สายบัว ตามร้านอาหารทั่วไปได้บ้าง แต่มีน้อยนักที่จะปรุงรสชาติออกมาได้ใกล้เคียงกับสูตรโบราณ เนื่องจากวัตถุดิบบางอย่างนั้นหายาก เดิม ต้ม สายบัว กะทิสูตรโบราณจะมีรสเปรี้ยวเล็กน้อย ซึ่งได้ความเปรี้ยวจากมะดัน แต่ในปัจจุบันจะหาได้ยากขึ้น ผู้ที่ทำเมนูนี้ขายจึงไม่ได้ใช้วัตถุดิบดังกล่าว ส่งผลให้ เมนู อาหาร ไทย ชนิดนี้มีรสชาติต่างจากอดีต ทั้งนี้เราสามารถใช้ตะลิงปลิงแทนมะดันได้ หรือถ้าหากไม่มีก็ไม่ต้องใส่ เพราะต้มกะทิ สายบัวก็มีความอร่อยในตัวอยู่แล้ว

อ่านบทความอื่นๆ:

Categories
สูตรอาหาร

ไก่แช่เหล้า เมนูอาหารพื้นบ้านของจีน ทานคู่กับน้ำจิ้มเต้าเจี้ยว ทำได้ง่าย ๆ สไตล์ร้านอาหารจีน 

ไก่แช่เหล้า

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าอาหารต่างชาติหลาย ๆ เมนูได้รับความนิยมในประเทศไทย แม้ว่าบางเมนูจะเป็นอาหารพื้นบ้านก็ตาม แต่ทว่ารสสัมผัสที่ถูกปากคนไทยก็สามารถทำให้กลายเป็นอาหารยอดนิยมได้ไม่ยาก โดยเฉพาะอาหารจีนหลาย ๆ เมนูที่มีรสชาติอร่อยและหน้าตาน่าทาน มักจะได้รับความนิยมในไทย และถ้าหากนึกถึงอาหารจีนพื้นบ้านที่เรามักจะเห็นตามโต๊ะจีน หนึ่งในนั้นคงจะขาดเมนู ไก่แช่เหล้า ไปไม่ได้ 

รู้จักเมนูอาหารจีนพื้นบ้านอย่าง ไก่แช่เหล้า ทำไมถึงได้รับความนิยมในประเทศไทย

ไก่แช่เหล้า

ไก่ แช่เหล้า ถือเป็นอาหารพื้นบ้านของจีนที่ได้รับความนิยมในไทย โดยเฉพาะในภัตตาคารอาหารจีน เรียกได้ว่า เมนูอาหารจีน นี้เป็นที่นิยมและขึ้นชื่อมากทีเดียว ต้องบอกว่า วัฒนธรรมอาหารจีน และอาหารฝรั่งจะนิยมนำเหล้ามาเป็นส่วนผสมของอาหาร จุดประสงค์อาจไม่ได้ต้องการทำให้มึนเมา แต่เป็นเพียงการเพิ่มรสชาติให้อาหารอร่อยขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยให้รสสัมผัสแตกต่างจากอาหารทั่วไปอีกด้วย เช่นเดียวกับเมนู ไก่ แช่เหล้า ทั้งนี้เหล้าบางชนิดจะเป็นยาที่ช่วยบำรุงร่างกายได้ 

แจกสูตร ไก่แช่เหล้า เนื้อนุ่ม ๆ รสกลมกล่อม มาพร้อมกลิ่นหอมของเหล้าจีน

ไก่แช่เหล้า

การนำไก่มาแช่เหล้าไม่เพียงแค่จะช่วยให้รสชาติอร่อยขึ้นเท่านั้น แต่ยังทำให้รสสัมผัสแตกต่างจากไก่ทั่วไปด้วย หลังจากถูกหมักด้วยเหล้าและส่วนผสมอื่น ๆ แล้วจะทำให้เนื้อไก่นุ่มละมุนมากขึ้น จึงจะเห็นได้ว่า อาหารจีน หลาย ๆ เมนูจะนิยมนำเหล้ามาเป็นส่วนผสม สำหรับใครที่อยากทำเมนูดังกล่าว เรามี สูตรไก่แช่เหล้า แบบง่าย ๆ มานำเสนอด้วย บอกเลยว่าเป็นสูตรที่มีความใกล้เคียงกับร้านอาหารจีน ไปดูกันว่าขั้นตอนการทำไก่แช่เหล้า จะเป็นอย่างไรบ้าง 

ส่วนผสมสำหรับต้มไก่

  1. สะโพกไก่ติดน่อง 1 กิโลกรัม
  2. ขิงหั่น 4 แว่น
  3. ต้นหอม 3 ต้น
  4. เกลือ 1 ช้อนชา
  5. น้ำเปล่าสำหรับต้มไก่

ส่วนผสมสำหรับแช่ไก่

  1. เหล้าจีน 100 มิลลิลิตร
  2. เหล้าบ๊วย 50 มิลลิลิตร
  3. น้ำเปล่า 1 ลิตร
  4. ซีอิ๊วขาว 2 ช้อนโต๊ะ
  5. น้ำมันงา 2 ช้อนโต๊ะ
  6. เกลือ 2 ช้อนชา
  7. ผงปรุงรส 1 ช้อนชา
  8. น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา
  9. ขิงหั่น 5 แว่น
  10. ต้นหอม 4 ต้น
ไก่แช่เหล้า

ส่วนผสมน้ำจิ้มเต้าเจี้ยว

  1. เต้าเจี้ยว 5 ช้อนโต๊ะ
  2. น้ำส้มสายชู 3 ช้อนโต๊ะ
  3. น้ำอุ่น 2 ช้อนโต๊ะ
  4. ซีอิ๊วดำหวาน 1/2 ช้อนโต๊ะ
  5. น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา
  6. พริกขี้หนูสับ 2 ช้อนโต๊ะ
  7. กระเทียมสับ 2 ช้อนโต๊ะ
  8. ขิงสับ 1 ช้อนโต๊ะ
  9. ผักชีสับ 1 ต้น 

วิธีทำไก่แช่เหล้า

ไก่แช่เหล้า
  1. ขั้นตอนแรกเตรียมต้มไก่ เริ่มจากต้มน้ำให้เดือดจัดด้วยไฟแรง ใส่เกลือลงไป นำขิงและต้นหอมมาทุบพอหยาบแล้วใส่ลงไป ตามด้วยสะโพกไก่ติดน่องที่เตรียมไว้ ต้มต่อไปเรื่อย ๆ รอจนเดือดอีกครั้ง
  2. เมื่อน้ำเดือดแล้วให้ต้มต่ออีก 5 นาที หลังจากนั้นพลิกไก่กลับด้านให้สุกอย่างทั่วถึง ในระหว่างนี้ให้ปรับเป็นไฟอ่อน และต้มต่ออีกประมาณ 15-20 นาที ขึ้นอยู่กับขนาดของเนื้อไก่ เสร็จแล้วปิดแก๊สและนำไก่มาน็อคในน้ำเย็น
  3. ขั้นตอนต่อมาเตรียมส่วนผสมแช่ไก่ เริ่มจากตั้งกระทะ ใช้ไฟกลาง ใส่น้ำมันงาลงไป ตามด้วยต้นหอมทุบและขิง ผัดให้มีกลิ่นหอม จากนั้นเทเหล้าจีนและเหล้าบ๊วยลงไป ต้มจนเดือด
  4. ปรุงรสด้วยน้ำตาลทราย ซีอิ๊วขาว เกลือ ผงปรุงรสและน้ำเปล่า ต้มต่อจนเดือด เสร็จแล้วปิดแก๊สและพักทิ้งไว้ให้เย็น นำไก่ต้มลงไปแช่ในส่วนผสมที่ทำเมื่อสักครู่ จากนั้นนำไปแช่ในตู้เย็นอย่างน้อย 12 ชั่วโมง หรือ 1 คืน
  5. ต่อมาเตรียมทำน้ำจิ้ม เริ่มจากเตรียมถ้วยน้ำจิ้ม ใส่กระเทียมสับ พริกขี้หนูสับและขิงสับลงไป คลุกเคล้าให้เข้ากันและบี้เล็กน้อยเพื่อให้มีกลิ่นหอม 
  6. ปรุงรสด้วยน้ำส้มสายชูและน้ำตาลทราย ใส่น้ำอุ่นลงไปแล้วคนให้เข้ากัน ต่อมาใส่เต้าเจี้ยวและซีอิ๊วดำหวาน ปิดท้ายด้วยผักชีสับ เสร็จแล้วคนให้ส่วนผสมทั้งหมดเข้ากันดี
  7. นำไก่ที่แช่ในตู้เย็นไว้จนครบ 1 คืน มาเลาะกระดูกออกให้หมด จากนั้นนำเนื้อไก่มาหั่นเป็นชิ้น ๆ จัดใส่จาน ราดด้วยน้ำไก่แช่เหล้า เสิร์ฟคู่กับน้ำจิ้มที่เตรียมไว้ ถือเป็นอันเสร็จ 

เทคนิคการเลือกไก่ให้เหมาะกับเมนู ไก่แช่เหล้า ช่วยให้ปรุงสุกได้ง่ายขึ้น

ไก่แช่เหล้า

การเลือกวัตถุดิบให้เหมาะสมกับการทำเมนูนั้น ๆ ย่อมมีความสำคัญอยู่ไม่น้อย แม้ว่าเครื่องปรุงหรือส่วนผสมต่าง ๆ จะเป็นตัวชูรสชาติก็ตาม แต่ทว่าวัตถุดิบหลักก็ต้องดีด้วย จึงจะช่วยให้รสสัมผัสดีขึ้นได้ สำหรับไก่ที่จะนำมาทำเมนู ไก่แช่เหล้าจีน ควรเป็นเนื้อไก่ที่ไม่เย็นจัดและแข็งจนเกินไป เพราะจะต้มให้สุกได้ยาก แนะนำให้เลือกไก่อุณหภูมิห้องจะดีกว่า สำหรับ เมนูอาหารจีนโบราณ เมนูนี้ เราควรเลือกไก่ส่วนที่มีเนื้อเยอะ ๆ เพราะถ้าปรุงเสร็จแล้วก็จะเลาะกระดูกออกให้หมด 

ไก่ แช่เหล้า เมนูอาหารจีนทำง่าย รสชาติอร่อย หอมกลิ่นเหล้า ลองแล้วจะติดใจ

ไก่แช่เหล้า

อย่างที่ทราบว่า เมนูไก่แช่เหล้า เป็นอาหารจีนพื้นบ้านที่ได้รับความนิยมในประเทศไทย สำหรับสูตรที่เราแนะนำไปนั้นจะใช้เหล้าจีนและเหล้าบ๊วยเป็นส่วนผสม แต่ถ้าหากใครอยากจะใช้เหล้าชนิดอื่นก็ทำได้เช่นกัน ทั้งนี้จะต้องเป็นเหล้าที่เหมาะกับการปรุงอาหารด้วย สำหรับภัตตาคารอาหารจีน เมนูไก่แช่เหล้านั้นขึ้นชื่อมากพอสมควร หากใครชอบทานอาหารจีนก็คงพอจะทราบได้ว่าเมนูนี้เป็นหนึ่งใน อาหารจีนที่นิยม ในไทยอย่างกว้างขวาง

อ่านบทความอื่นๆ:

Categories
สูตรอาหาร

เปาะเปี๊ยะ ทอดไส้กุ้งรวมมิตร แป้งกรอบ เนื้อแน่น อร่อยฟิน เมนูอาหารว่างทำทานง่าย 

เปาะเปี๊ยะ

ถ้ากล่าวถึงอาหารไทยหลาย ๆ เมนู ไม่ว่าจะเป็นอาหารมื้อหลักหรืออาหารทานเล่น ต้องบอกว่าหลาย ๆ เมนูได้รับอิทธิพลมาจากต่างชาติ โดยเฉพาะอาหารว่างหรืออาหารทานเล่น หลายเมนูได้รับอิทธิพลมาจากจีน ต่อมาถูกปรับสูตรการปรุงให้ถูกปากคนไทยมากขึ้น บทความนี้จะกล่าวถึงเมนูที่มีชื่อว่า เปาะเปี๊ยะ ถือเป็นอาหารทานเล่นชนิดหนึ่งที่ได้รับความนิยมมากในไทย ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ยังคงมีให้เห็นอยู่เรื่อย ๆ นั่นเป็นเพราะว่าเมนูนี้ทำได้ง่าย แถมทานแล้วยังอิ่มท้องอีกด้วย 

เปาะเปี๊ยะ อาหารทานเล่นยอดนิยม เสิร์ฟพร้อมน้ำจิ้ม ทานเวลาไหนก็อร่อย

เปาะเปี๊ยะ

อาหารทานเล่นอย่าง เปาะ เปี๊ยะ ถือเป็นอีกหนึ่งเมนูที่คนไทยชอบทานเป็นอาหารว่างหรือทานรองท้องแทนข้าว เนื่องจากเป็นอาหารที่ทำจากแผ่นแป้งสาลี ห่อด้วยไส้ต่าง ๆ ส่วนใหญ่จะประกอบด้วยหมูสับหรือกุ้ง วุ้นเส้น เห็ด กะหล่ำปลีและแครอท ทำให้มีสารอาหารเพียงพอที่ช่วยให้อิ่มท้องได้ หลายคนจึงมักจะรับประทานแทนข้าวในบางเวลา หรือจะทานเล่นในเวลาว่างก็อร่อยเพลินได้เช่นกัน นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เปาะเปี๊ยะ ได้รับความนิยมมาอย่างยาวนาน 

เผยสูตร เปาะเปี๊ยะ ทอดไส้กุ้งรวมมิตร มีทั้งกุ้งและหมูสับ พร้อมเครื่องต่าง ๆ ทานแล้วอร่อยลงตัว

เปาะเปี๊ยะ

เมนูอาหารทานเล่นชนิดนี้จะมีอยู่ด้วยกัน 2 แบบ คือ เปาะเปี๊ยะสด ห่อด้วยไส้ถั่วงอกลวก หมูตั้ง กุนเชียง เต้าหู้เค็มและแตงกวา จากนั้นราดน้ำปรุงเหนียว ๆ รสหวานเค็ม โรยหน้าด้วยเนื้อปูและไข่เจียวหั่นฝอย นิยมทานกับต้นหอมและพริกสด และอีกแบบจะเป็น เปาะเปี๊ยะทอด ห่อไส้วุ้นเส้น ถั่วงอกและเนื้อสัตว์ผัดสุก เสร็จแล้วนำไปทอด ทานกับน้ำจิ้มรสหวานอมเปรี้ยวและผักสด และสำหรับวันนี้เราขอนำเสนอ ปอ เปี๊ยะ ทอด สูตรโบราณ มาดูกันว่าจะมีขั้นตอนการทำอย่างไรบ้าง 

วัตถุดิบและส่วนผสม

เปาะเปี๊ยะ
  1. แป้งเปาะเปี๊ยะ 20 แผ่น
  2. กุ้ง 20 ตัว
  3. หมูสับ 1 กิโลกรัม
  4. วุ้นเส้น (ตามต้องการ)
  5. เห็ดหอม 5 ดอก
  6. แครอท 1 หัว
  7. กะหล่ำปลี 1/2 หัว
  8. รากผักชี 3 ราก
  9. กระเทียม 10 กลีบ
  10. พริกไทยดำเม็ด 2 ช้อนชา
  11. ซีอิ๊วขาว 3 ช้อนโต๊ะ
  12. ซอสปรุงรส 2 ช้อนโต๊ะ
  13. น้ำมันงา 2 ช้อนโต๊ะ
  14. น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ
  15. ซีอิ๊วดำ 2 ช้อนชา
  16. พริกไทยป่น 1/2 ช้อนชา
  17. น้ำมันสำหรับผัด/ทอด

วิธีการทำเปาะเปี๊ยะ

เปาะเปี๊ยะ
  1. นำเห็ดหอมมาหั่นเป็นชิ้นบาง ๆ ตามด้วยซอยกะหล่ำปลีเป็นเส้น ๆ นำแครอทมาปอกเปลือกและขูดเป็นเส้น ๆ เสร็จแล้วพักไว้
  2. นำรากผักชี กระเทียมและพริกไทยดำเม็ด มาตำให้เข้ากันจนละเอียด จากนั้นตั้งกระทะแล้วเทน้ำมันลงไปนิดหน่อย ตามด้วยส่วนผสมที่ตำไว้เมื่อสักครู่ ผัดจนมีกลิ่นหอมแล้วใส่หมูสับตามลงไป ผัดให้เข้ากัน
  3. หลังจากผัดหมูสุกแล้ว ต่อมาใส่เห็ดหอมลงไปผัดจนสุก ตามด้วยกะหล่ำปลี แครอทและวุ้นเส้น เสร็จแล้วผัดให้ส่วนผสมทั้งหมดเข้ากัน
  4. ปรุงรสด้วยน้ำมันงา พริกไทยป่น ซีอิ๊วดำ ซอสปรุงรส ซีอิ๊วขาวและน้ำตาลทราย ผัดให้ส่วนผสมเข้ากันและปิดแก๊สได้เลย
  5. นำแผ่นเปาะเปี๊ยะทั้ง 20 แผ่นมาวางซ้อนกัน จากนั้นผ่าแบ่งครึ่งเตรียมไว้ ต่อมาเริ่มห่อเปาะเปี๊ยะทีละแผ่น โดยวางแผ่นแป้งเปาะเปี๊ยะไว้เป็นแนวตั้ง ตักไส้ใส่ลงตรงกลางของส่วนล่างสุดของแผ่นแป้ง 
  6. จากนั้นวางกุ้งสดทับด้านบนเป็นแนวนอน ม้วนแป้งจากด้านล่างขึ้นไปด้านบน เมื่อม้วนได้ครึ่งหนึ่งของแผ่นแป้งแล้ว ใช้นิ้วแตะน้ำและทาลงบนขอบแผ่นแป้ง พับขอบแป้งซ้าย-ขวาเข้าด้านใน และม้วนแป้งขึ้นไปจนสุดขอบ
  7. ขั้นตอนการทอดเปาะเปี๊ยะ ตั้งกระทะแล้วเทน้ำมันลงไปเยอะ ๆ กะปริมาณให้ท่วมเปาะเปี๊ยะในขณะทอด เริ่มทอดด้วยไฟกลาง 
  8. ในระหว่างทอดให้คนไปมาเรื่อย ๆ เพื่อให้ตัวแป้ง รวมถึงกุ้งด้านในสุกอย่างทั่วถึง .เมื่อทอดจนสุกเหลืองสวยงามแล้ว ตักขึ้นมาสะเด็ดน้ำมัน เสิร์ฟพร้อมกับน้ำจิ้มและผักตามต้องการ 

เคล็ดลับการทอดเปาะเปี๊ยะ ให้สุกกรอบ ไม่อมน้ำมัน ทานแล้วสุขภาพดี

เปาะเปี๊ยะ

การทอด แป้ง เปาะเปี๊ยะ ให้สุกกรอบแบบไม่อมน้ำมันนั้นสามารถทำได้ง่าย ๆ โดยทั่วไปจะแนะนำให้ใส่น้ำมันลงในหม้อหรือกระทะเยอะ ๆ ให้ท่วมตัวเปาะเปี๊ยะ จากนั้นตั้งไฟให้น้ำมันร้อนจัดแล้วค่อยนำเปาะเปี๊ยะลงไปทอด สิ่งสำคัญของการทอดก็คือน้ำมัน แนะนำให้ใช้น้ำมันรำข้าว เพราะทนความร้อนได้สูง ทั้งยังมีสารธรรมชาติที่ช่วยลดคอเลสเตอรอลและต้านอนุมูลอิสระได้อีกด้วย จะช่วยให้ ปอเปี๊ยะ ทอด มีแป้งสุกกรอบแบบไม่อมน้ำมัน และเราสามารถทานเปาะเปี๊ยะได้อย่างสบายใจด้วย 

เปาะเปี๊ยะ อาหารที่มีต้นกำเนิดมาจากจีน แต่ได้รับความนิยมในไทยและเวียดนาม

เปาะเปี๊ยะ

หลายคนอาจเคยได้ยินว่าเปาะเปี๊ยะเป็นเมนูอาหารที่ได้รับความนิยมมากในประเทศเวียดนาม จึงสงสัยว่าจริง ๆ แล้วอาหารชนิดนี้มีต้นกำเนิดจากที่ใดกันแน่ ต้องบอกว่าเวียดนามก็ได้รับอิทธิพลมาจากจีนในอดีตเช่นเดียวกับไทย แต่วัตถุดิบที่ใช้จะแตกต่างกัน สำหรับเปาะเปี๊ยะเวียดนามจะใช้แป้งของเวียดนามโดยเฉพาะ ต่างจากของจีนและไทยที่ใช้แผ่นแป้งสาลี และนอกจาก ปอเปี๊ยะกุ้ง แล้วยังมี ปอเปี๊ยะทอดไส้ต่างๆ ให้เลือกทานอย่างหลากหลายด้วย

อ่านบทความอื่นๆ:

Categories
สูตรอาหาร

รู้จักกับ มัสมั่นไก่ เมนูอาหารไทยดังไกลระดับโลก พร้อมเผยสูตรการทำแบบไม่ยุ่งยาก 

มัสมั่นไก่

อาหารไทยถือเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้คนทั่วโลกได้รู้จักประเทศไทยมากยิ่งขึ้น เรียกว่าเป็นซอฟต์พาวเวอร์ (Soft Power) อย่างหนึ่งที่สามารถดึงดูดให้ชาวต่างชาติหันมาสนใจประเทศไทยได้ โดยในแต่ละปีจะมีการจัดอันดับอาหารอร่อยที่สุดในโลก และในบรรดาอาหารไทยที่มักจะติดอันดับต้น ๆ คงหนีไม่พ้นต้มยำกุ้งและแกงมัสมั่น โดยเฉพาะเมนู มัสมั่นไก่ ถือว่าเป็นหนึ่งในเมนูโปรดของใครหลายคนเลยก็ว่าได้ 

ทำความรู้จักเมนู มัสมั่นไก่ มีที่มาอย่างไร ทำไมถูกใจคนทั่วโลก

มัสมั่นไก่

ต้องบอกว่า มัสมั่น ในประเทศไทยนั้นมีมาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ซึ่งถูกนำเข้าโดยแขกเปอร์เซีย หรือชาวอิหร่าน นับเป็นการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมทางอาหารระหว่างไทยและเปอร์เซีย ต่อมาเมนูนี้ถูกบรรจุให้อยู่ในทำเนียบอาหารไทยในสมัยรัชกาลที่ 2 จึงกลายเป็น เมนู อาหาร ไทย จนถึงทุกวันนี้ แต่ทว่าตำรับอาหารไทยนั้นได้รับอิทธิพลมาจากอาหารมลายู ซึ่งมีอยู่หลายสูตรด้วยกัน โดยส่วนมากจะนิยมทำเป็น มัสมั่น ไก่ ด้วยความที่มีรสชาติอร่อย กลมกล่อมและไม่เผ็ดมาก จึงเป็นเมนู อาหาร ไทย ที่ ฝรั่ง ชอบ ถูกใจคนทั่วโลก

เผยสูตร มัสมั่นไก่ เมนูอาหารไทยรสชาติเข้มข้น เนื้อสัมผัสดี ๆ ทำทานเองได้ที่บ้าน

มัสมั่นไก่

แกง มัสมั่น เป็นเมนูที่ทำได้ไม่ยากนัก แต่ในความง่ายก็ยังคงมีความยากอยู่บ้าง เพราะการจะทำให้อร่อยได้นั้นจำเป็นต้องเลือกใช้วัตถุดิบที่มีคุณภาพ โดยเฉพาะ แกง มัสมั่น ไก่ สูตร โบราณ จะต้องใช้พริกแกงที่ตำเอง หรือพริกแกงที่เหมาะกับการทำมัสมั่นโดยเฉพาะ นอกจากนี้ยังต้องใช้เวลาและความพิถีพิถันอยู่พอสมควร เรียกว่าเป็น อาหาร ไทย โบราณ ที่มีความยากและง่ายในเวลาเดียวกัน อย่างไรก็ตามหากคุณอยากลองทำทานเอง เรามี สูตรมัสมั่นไก่ มาแนะนำด้วย

วัตถุดิบและส่วนผสม

มัสมั่นไก่
  1. เนื้อไก่ 1,000 กรัม
  2. มันฝรั่ง (หั่นชิ้น) 600 กรัม
  3. หอมใหญ่ (หั่น) 300 กรัม
  4. หัวกะทิ 600 กรัม
  5. หางกะทิ 600 กรัม
  6. ลูกกระวาน 10 กรัม
  7. ใบกระวาน 2 กรัม
  8. ถั่วลิสงคั่ว 50 กรัม
  9. พริกแกงมัสมั่น 150 กรัม
  10. น้ำมะขามเปียก 4 ช้อนโต๊ะ
  11. น้ำตาลปี๊บ 5 ช้อนโต๊ะ
  12. น้ำปลา 6 ช้อนโต๊ะ 

วิธีทำการทำมัสมั่นไก่

มัสมั่นไก่
  1. แบ่งหัวกะทิไว้ 3 ส่วน ขั้นตอนแรกเทหัวกะทิส่วนแรกลงในหม้อ เคี่ยวด้วยไฟกลาง-อ่อน จนข้นและแตกมัน หลังจากนั้นเทหัวกะทิส่วนที่ 2 ลงไป เคี่ยวจนแตกมันอีกครั้งและใส่พริกแกงมัสมั่นลงไป ผัดให้เข้ากันจนมีกลิ่นหอม
  2. ปรุงรสด้วยน้ำตาลปี๊บ น้ำมะขามเปียกและน้ำปลา คนให้เข้ากันจนน้ำตาลปี๊บละลาย เสร็จแล้วลองชิมรสและปรุงเพิ่มได้ตามต้องการ
  3. เทหัวกะทิส่วนสุดท้ายลงไป คนให้เข้ากันและรอจนเดือด ใส่เนื้อไก่ลงไป ตามด้วยลูกกระวานและใบกระวาน เสร็จแล้วราดหางกะทิลงไป ในระหว่างนี้ให้ใช้ไฟแรง จากนั้นคนเล็กน้อยเพื่อไม่ให้ส่วนผสมด้านล่างติดก้นหม้อ
  4. เมื่อน้ำแกงเริ่มเดือดแล้วให้ปรับเป็นไฟกลาง ต้มไก่ให้สุกประมาณ 10 นาที หลังจากนั้นพลิกไก่กลับด้านให้สุกอย่างทั่วถึง
  5. หลังจากต้มไก่จนสุกแล้ว ใส่มันฝรั่งและหอมใหญ่ลงไป ใช้ทัพพีกดลงให้จมน้ำและเร่งไฟแรง ต้มต่ออีกประมาณ 10-15 นาที หลังจากน้ำ แกง มัสมั่น ไก่ เดือดแล้วให้ปรับเป็นไฟกลาง-อ่อน
  6. เมื่อมันฝรั่งสุกดีแล้ว ใส่ถั่วลิสงคั่วลงไป ต้มจนทุกอย่างสุกและลองชิมรส หากได้รสชาติตามต้องการแล้วสามารถปิดแก๊สได้เลย

เคล็ดลับการปรุงแกงมัสมั่นไก่ ให้อร่อยลงตัว ได้เนื้อสัมผัสที่ใช่ และรสชาติที่ชอบ

มัสมั่นไก่

แม้ว่าจะเป็น อาหาร ไทย ยอด นิยม แต่การจะทำ มัสมั่น ไก่ ให้อร่อยถูกปากทุกคนนั้นคงเป็นเรื่องยาก เพราะความชอบของแต่ละคนไม่เหมือนกัน การจะทำมัสมั่นไก่ให้น่าทานจำเป็นต้องเพิ่มความหอมด้วยเครื่องเทศอย่างลูกกระวานและใบกระวาน แต่หากใครไม่ชอบก็ไม่ต้องใส่ และสำหรับใครที่ไม่อยากให้มันฝรั่งเปื่อยเละจนเกินไป แนะนำให้ใส่มันฝรั่งหลังจากต้มไก่จนสุกแล้ว ในส่วนของเนื้อสัตว์ก็สามารถใช้เนื้อวัวหรือเนื้อหมูแทนเนื้อไก่ได้ นอกจากนี้ควรใส่เครื่องปรุงทีละน้อย ๆ และชิมรสหลังจากปรุงเสร็จทุกครั้ง 

มัสมั่นไก่เมนูอาหารไทยชื่อดัง ทานคู่กับอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรตได้อย่างหลากหลาย

มัสมั่นไก่

อาหาร ไทย อย่างมัสมั่นมีรสชาติอร่อยกลมกล่อม ไม่เผ็ดมาก และมาพร้อมกับกลิ่นหอมของวัตถุดิบและพริกแกง อีกทั้งยังสามารถทานได้หลายวิธี จึงเป็นหนึ่งใน เมนู อาหาร ไทย ยอด นิยม ไม่เพียงแค่ทานคู่กับข้าวได้เท่านั้น แต่เรายังสามารถทาน มัสมั่น ไก่ คู่กับขนมปัง แป้งโรตี สปาเก็ตตี้และเส้นพาสต้าได้อีกด้วย ถ้าเปรียบการกินแบบไทย ๆ เมนูนี้ก็ถือเป็น อาหาร ไทย 4 ภาค เลยก็ว่าได้

อ่านบทความอื่นๆ:

Categories
สูตรอาหาร

ปูผัดผงกะหรี่ อาหารทะเลยอดฮิต ทานแล้วติดใจ รสชาติกลมกล่อม และหอมกลิ่นเครื่องเทศ 

ปูผัดผงกะหรี่

อาหารไทยมีอยู่ด้วยกันหลากหลายประเภท นอกจากอาหารที่ทำจากเนื้อสัตว์อย่างเนื้อวัว หมู ไก่และปลาแล้ว ยังมีอาหารทะเลที่ใช้สัตว์ทะเลเป็นวัตถุดิบหลักด้วย ไม่ว่าจะเป็นกุ้ง หอย ปูและปลา หากกล่าวถึงปูทะเลแล้ว ปูม้าถือเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่คนนิยมนำมาประกอบอาหาร และเมนูที่หลายคนคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีก็คงหนีไม่พ้น ปูผัดผงกะหรี่ นับเป็นอาหารที่หาทานได้ค่อนข้างง่าย และมีวิธีทำไม่ยากด้วย 

ปูผัดผงกะหรี่ ชื่อนี้การันตีความอร่อย เมนูที่มาพร้อมกับกลิ่นหอม ๆ และรสสัมผัสที่ล้ำเลิศ

ปูผัดผงกะหรี่

ปู ผัดผงกระหรี่ เป็นเมนูอาหารที่ใช้ปูเป็นวัตถุดิบหลัก รสชาติกลมกล่อมและมีกลิ่นหอมของเครื่องเทศ ผงกะหรี่นั้นเป็นเครื่องเทศที่มีต้นกำเนิดมาจากอินเดีย ซึ่งได้จากการผสมสมุนไพรพื้นบ้าน สมุนไพรราคากลางและสมุนไพรหายาก นับเป็นเครื่องเทศที่โด่งดังและหลายชาตินิยมใช้ประกอบอาหาร สำหรับ เมนูอาหารไทย อย่าง ปู ผัดผงกะหรี่ ก็ได้รับอิทธิพลมาจากอาหารต่างชาติเช่นกัน โดยจะมีทั้งสูตรที่ใส่ไข่และไม่ใส่ไข่ อย่างไรก็ตาม สูตรอาหารไทย จะนิยมปรุงรสให้มีความกลมกล่อมเป็นหลัก 

แจกสูตร ปูผัดผงกะหรี่ ใส่น้ำพริกเผา เนื้อปูแน่น ๆ รสชาติกลมกล่อม น้ำข้นเยิ้ม น่ารับประทาน

ปูผัดผงกะหรี่

ปูผัดผง กระ หรี่ จะมีอยู่ 2 สูตรด้วยกัน คือ สูตรใส่ไข่และไม่ใส่ไข่ สำหรับสูตรที่ใส่ไข่จะมีส่วนผสมของผงกะหรี่ นมข้นจืดและน้ำมันพริกเผา ส่วนสูตรที่ไม่ใส่ไข่จะมีเพียงแค่ผงกะหรี่เท่านั้น แต่ในส่วนของเครื่องปรุงจะใช้เหมือนกันทั้ง 2 สูตร เรียกได้ว่าเป็นเมนู อาหารไทยง่ายๆ ที่ทำเองได้ไม่ยากนัก หากใครสนใจอยากจะลองทำทานเองที่บ้าน เรามี สูตรปูผัดผงกะหรี่ แบบง่าย ๆ มานำเสนอด้วย 

วัตถุดิบและส่วนผสม

ปูผัดผงกะหรี่
  1. ปูม้า 1,000 กรัม
  2. ไข่ไก่ 3 ฟอง
  3. กระเทียม (โขลก) 1 หัว
  4. หอมใหญ่ (ซอย) 1 หัว
  5. ต้นหอม (หั่นท่อน) 3 ต้น
  6. ขึ้นฉ่าย (หั่นท่อน) 3 ต้น
  7. พริกชี้ฟ้าแดง (ซอย) 3 เม็ด
  8. ผงกะหรี่ 3 ช้อนโต๊ะ
  9. ซีอิ๊วขาว 3 ช้อนโต๊ะ
  10. ซอสหอยนางรม 2 ช้อนโต๊ะ
  11. น้ำพริกเผา/น้ำมันน้ำพริกเผา 1 ช้อนโต๊ะ
  12. น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา
  13. นมข้นจืด 150 มิลลิลิตร
  14. พริกไทยป่น
  15. น้ำเปล่า
  16. น้ำมันสำหรับผัด 

วิธีการทำปูผัดผงกะหรี่

ปูผัดผงกะหรี่

1.ขั้นตอนแรกนำปูม้ามาล้างทำความสะอาด จากนั้นแกะเปลือกและผ่าครึ่ง เตรียมไว้ ตั้งกระทะและเปิดไฟกลาง เทน้ำมันลงไปเล็กน้อย 

2.จากนั้นนำกระเทียมโขลกลงไปผัดให้มีกลิ่นหอมและนำปูม้าลงไปผัดให้เข้ากัน เสร็จแล้วนำฝาหม้อมาปิดและอบไว้สักพัก

3.ขั้นตอนต่อมาเตรียมส่วนผสม เทนมข้นจืดลงในภาชนะ ตามด้วยผงกะหรี่ น้ำตาลทราย ซีอิ๊วขาว ซอสหอยนางรม พริกไทยป่นและน้ำพริกเผา คนส่วนผสมให้เข้ากันดี เสร็จแล้วให้ลองชิมรสชาติ

4.ตอกไข่ใส่ถ้วยแล้วตีไข่ให้แตก จากนั้นนำไปผสมกับเครื่องปรุงต่าง ๆ ที่ผสมไว้เมื่อสักครู่ เมื่ออบปูม้าจนสุกได้ที่แล้วให้เปิดฝาหม้อออก

5.จากนั้นใส่ผงกะหรี่ลงไปเล็กน้อยและผัดให้เข้ากัน หากเห็นว่าแห้งเกินไปก็สามารถเติมน้ำเปล่าลงไปได้ เทเครื่องปรุงหรือส่วนผสมที่เตรียมไว้ลงไป คลุกเคล้าให้เข้ากัน ต่อมาใส่หอมใหญ่ 

6.จากนั้นใช้ไฟแรงและคลุกเคล้าให้เข้ากันอีกครั้ง เมื่อไข่เริ่มเซตตัวแล้วให้ใส่ต้นหอม ขึ้นฉ่ายและพริกชี้ฟ้าแดงตามลงไป คลุกเคล้าให้เข้ากัน เมื่อผัดจนสุกได้ที่แล้วให้ปิดแก๊ส เตรียมจัดเสิร์ฟ 

เคล็ดลับทำปูผัดผงกะหรี่ ให้หอมมันอร่อย รสชาติลงตัว ทานแล้วฟินถึงใจ

ปูผัดผงกะหรี่

แม้ว่าจะเป็นเมนูที่พบเจอได้ง่ายตามร้านอาหารทั่วไป แต่ก็ถือเป็นหนึ่งใน อาหารไทยทำเอง ได้ไม่ยาก สำหรับ วิธีทำผัดผง กระ หรี่ ทะเล ให้อร่อยกลมกล่อมและมีน้ำข้นเยิ้ม ควรใส่น้ำมันน้ำพริกเผาลงไปด้วย เพราะถือเป็นส่วนผสมสำคัญที่ขาดไม่ได้ และถ้าผัดจนแห้งเกินไปก็ควรเติมน้ำลงไปเล็กน้อย นอกจากนี้ขั้นตอนการใส่ไข่ก็สำคัญเช่นกัน สำหรับปูผัดผงกะหรี่ ที่ใส่ไข่ตามสไตล์ สูตรอาหารไทย เมื่อใส่ส่วนผสมของไข่และเครื่องปรุงอื่น ๆ ลงไปแล้วควรคนเรื่อย ๆ เพื่อไม่ให้ไข่จับตัวกันเป็นก้อน 

ไขข้อสงสัยเกี่ยวกับการใช้ปูในการทำเมนู ปูผัดผงกะหรี่

ปูผัดผงกะหรี่

เมนูผัดผงกระหรี่ ของไทยจะนิยมใช้ปูม้ากันเป็นส่วนมาก เพราะเป็นปูทะเลชนิดหนึ่งที่มีรสชาติหวาน อีกทั้งยังมีคุณค่าทางโภชนาการ จึงนิยมนำมาทำเมนู ผัดผงกระหรี่ ทั้งนี้หลายคนอาจสงสัยว่า ปูผัดผง กระ หรี่ ใช้ ปู อะไร ได้บ้าง จริง ๆ แล้วเรายังสามารถใช้ปูทะเล (ปูดำ) ได้ด้วย ไม่ว่าจะเป็นปูเนื้อหรือปูไข่ก็ได้เช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตามสิ่งที่จะทำให้ปูผัดผงกะหรี่อร่อยได้นั้นไม่ได้อยู่ที่ตัวปูอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับวัตถุดิบอื่น ๆ และปริมาณของส่วนผสมที่ใช้ปรุงด้วย

อ่านบทความอื่นๆ:

สนับสนุนโดย: hilo-88.net

Categories
สูตรอาหาร

แบ่งสูตร คะน้าหมูกรอบ ง่าย ๆ แบบเร่งด่วน ไม่ต้องตากแดดและต้มหมูให้ยุ่งยาก 

คะน้าหมูกรอบ

คะน้าเป็นผักชนิดหนึ่งที่สามารถหาซื้อได้ง่าย ไม่ว่าจะไปที่ตลาดหรือซูเปอร์มาร์เก็ต คุณจะเห็นผักชนิดนี้วางขายอย่างแน่นอน เรียกได้ว่าเป็นผักชนิดหนึ่งที่นิยมนำมาประกอบอาหาร นอกจากก๋วยจั๊บและราดหน้าแล้ว เมนูผักยังใช้คะน้าเป็นวัตถุดิบหลักอีกด้วย และเมนูอาหารที่คนไทยหลายคนชอบทานคู่กับข้าวสวยเป็นอย่างมากก็คือ คะน้าหมูกรอบ บอกเลยว่าหาทานง่ายมาก และทำได้ไม่ยากด้วย 

รู้จัก คะน้าหมูกรอบ เมนูอาหารทานกับข้าวยอดนิยม ใช้วัตถุดิบน้อย แต่อร่อยได้ไม่ยาก

คะน้าหมูกรอบ

คะน้า หมูกรอบ คือ เมนูที่มีผักคะน้าและหมูกรอบเป็นวัตถุดิบหลัก ปัจจุบันเมนูนี้ได้รับความนิยมอย่างมาก ถือเป็น เมนูอาหารไทย ที่หาทานได้ไม่ยากนัก ด้วยความที่ใช้วัตถุดิบค่อนข้างน้อย และมีวิธีการทำที่ไม่ยุ่งยาก จึงเป็นหนึ่งในเมนูที่พบได้ง่ายในร้าน อาหารตามสั่ง นอกจากนี้หลาย ๆ ครอบครัวยังนิยมทำให้คนในบ้านทานด้วย เรียกได้ว่าเป็นเมนูที่คนทั่วไปสามารถทานได้ หากคุณชอบทานผักคะน้า เมนู คะน้า หมูกรอบ ก็เป็นหนึ่งในเมนูที่น่าสนใจไม่น้อยเลย 

แจกสูตร คะน้าหมูกรอบ แบบเร่งด่วน ใช้เวลาทำไม่นาน มือใหม่ก็ทำได้

คะน้าหมูกรอบ

อย่างที่กล่าวไปแล้วว่า ผัด คะน้า หมู กรอบ เป็นเมนูที่ใช้วัตถุดิบไม่เยอะมาก หากคุณอยากทำ อาหารไทยง่ายๆ ที่ใช้ผักเป็นวัตถุดิบหลัก เมนูดังกล่าวก็ถือเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจ เพราะผักคะน้านั้นมีประโยชน์มากเลยทีเดียว อีกทั้งยังหาซื้อง่ายและราคาไม่แพงด้วย ใครที่อยากทำกับข้าวในราคาประหยัด เมนูนี้น่าจะตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดี และสำหรับใครที่ชอบทานเมนู คะน้าหมูกรอบ วันนี้เราก็มี สูตรคะน้าหมูกรอบ มาฝากกันด้วย 

วัตถุดิบและส่วนผสม

คะน้าหมูกรอบ
  1. ผักคะน้า 400 กรัม
  2. หมูสามชั้น 150 กรัม
  3. กระเทียม 5-7 กลีบ
  4. พริกจินดาแดง 4-5 เม็ด
  5. ซอสปรุงรส 1 ช้อนโต๊ะ
  6. ซอสหอยนางรม 2 ช้อนโต๊ะ
  7. ซีอิ๊วขาว 1/2 ช้อนโต๊ะ
  8. น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา
  9. น้ำเปล่า 3 ช้อนโต๊ะ
  10. น้ำมันสำหรับทอด/ผัด 

วิธีทำคะน้าหมูกรอบ

คะน้าหมูกรอบ
  1. ขั้นตอนแรกเตรียมวัตถุดิบให้พร้อม เริ่มจากนำหมูสามชั้นมาหั่นเป็นชิ้นขนาดพอดีคำ เสร็จแล้วนำผักคะน้ามาล้างทำความสะอาด จากนั้นหั่นเป็นท่อน ๆ หากเป็นลำต้นหรือก้านแก่ให้ปอกเปลือกออก ต่อมาโขลกพริกและกระเทียมให้เข้ากัน พักไว้
  2. ขั้นตอนต่อมาให้นำเครื่องปรุงทั้งหมดมาผสมกัน ได้แก่ ซอสปรุงรส ซอสหอยนางรม ซีอิ๊วขาว น้ำตาลทรายและน้ำเปล่า นำมาผสมกันในถ้วยเตรียมไว้ ควรชิมรสชาติก่อนนำไปปรุงคะน้าหมูกรอบ
  3. ตั้งกระทะและเปิดไฟกลาง ใส่น้ำมันลงไป เมื่อน้ำมันร้อนแล้วให้นำหมูสามชั้นลงไปทอด ในระหว่างทอดให้ใช้ทัพพีพลิกหมูกลับไปมาเรื่อย ๆ สำหรับความกรอบของหมูจะขึ้นอยู่กับระยะเวลาของการทอด หากต้องการให้หมูกรอบมากก็ต้องใช้เวลาทอดนานขึ้น
  4. เมื่อทอดจนหมูกรอบตามที่ต้องการแล้วให้ปิดแก๊สและตักออกจากกระทะ พักไว้ จากนั้นเทน้ำมันออกจากกระทะให้เหลือนิดหน่อย เสร็จแล้วนำพริกกระเทียมโขลกลงไปผัดให้มีกลิ่นหอม ใส่ผักคะน้าตามลงไป ผัดให้เข้ากันและเติมน้ำเปล่าลงไปเล็กน้อย
  5. ใส่ส่วนผสมหรือเครื่องปรุงที่เตรียมไว้ลงไป จากนั้นผัดให้เข้ากัน เสร็จแล้วนำฝาหม้อมาปิดกระทะประมาณ 1 นาที เมื่ออบจนผักนิ่มแล้วให้นำฝาหม้อออกและใส่หมูกรอบลงไป ผัดให้เข้ากัน เสร็จแล้วปิดแก๊ส ถือเป็นอันเสร็จ 

เคล็ดลับทำ คะน้าหมูกรอบ ให้อร่อย ผักนิ่ม เคี้ยวง่าย ดูน่ารับประทาน

คะน้าหมูกรอบ

สำหรับใครที่ต้องการให้ผักคะน้ามีความนิ่ม เคี้ยวง่าย หลังจากปรุงรสเสร็จแล้ว สามารถอบไว้อย่างน้อยประมาณ 1 นาที โดยใช้ฝาหม้อปิดกระทะไว้ วิธีนี้จะทำให้ผักคะน้านิ่มมากขึ้น เมื่อทานแล้วจะรู้สึกเคี้ยวง่าย หากใครจะทำ ผัดคะน้า ให้ผู้สูงอายุทานก็สามารถนำ สูตรอาหารไทย สูตรนี้ไปใช้ได้เลย ไม่เพียงแค่เมนูผัดคะน้าเท่านั้น แต่รวมถึง เมนูตามสั่ง อื่น ๆ ที่ใช้ผักเป็นวัตถุดิบหลัก ทั้งนี้การอบเป็นเวลานานจะช่วยให้เมนูคะน้าหมูกรอบ ของคุณสุกอย่างทั่วถึงอีกด้วย 

เมนูคะน้าหมูกรอบ อาหารยอดฮิตติดใจคนไทย ทานเมื่อไหร่ก็อิ่ม และได้ประโยชน์

คะน้าหมูกรอบ

คะน้าเป็นผักที่มีสารอาหารหลากหลายชนิด จะเห็นได้ว่า อาหารไทย หลายเมนู โดยเฉพาะเมนูผัก มักจะนิยมใช้ผักคะน้าเป็นวัตถุดิบหลัก ผักชนิดนี้อุดมไปด้วยวิตามินเอ วิตามินซี แร่ธาตุที่จำเป็นและสารต้านอนุมูลอิสระ นอกจากนี้ยังมีสารอาหารชนิดอื่น ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายอีกด้วย คุณสามารถทานเมนู คะน้าหมูกรอบไข่ดาว เพื่อเพิ่มสารอาหารให้กับร่างกายได้ แม้ว่า คะน้าหมูกรอบราดข้าว จะหาทานได้ง่าย แต่ถ้าหากคุณอยากลองทำทานเองที่บ้านก็สามารถนำ สูตรคะน้าหมูกรอบ ที่เราแนะนำไปทำตามกันได้เลย

อ่านบทความอื่นๆ:

สนับสนุนโดย: ufaball.bet

Categories
สูตรอาหาร

ก๋วยจั๊บน้ำข้น พะโล้ เมนูยอดฮิตของคนไทย รสชาติอร่อยกลมกล่อม สารอาหารครบ 5 หมู่

ก๋วยจั๊บน้ำข้น

ก๋วยจั๊บ เป็นอาหารจีนแต้จิ๋ว โดยชื่อดังกล่าวมาจากคำว่า “ก๋วย” หมายถึง อาหารที่ทำจากข้าว ซึ่งอยู่ในตระกูลเดียวกับก๋วยเตี๋ยวและไชก้วย และคำว่า “จั๊บ” หมายถึง คละหรือผสม เมื่อนำมารวมกันจึงหมายความว่า “ซุปเส้นข้าวผสมเครื่องต่าง ๆ” โดยนิยมเป็นเครื่องใน หมูกรอบ เต้าหู้และไข่ นับเป็นอีกหนึ่งอาหารจีนที่ได้รับความนิยมในไทย ซึ่งจะมีทั้ง ก๋วยจั๊บน้ำข้น และน้ำใส 

ทำความรู้จัก ก๋วยจั๊บน้ำข้น หนึ่งในเมนูอาหารที่ได้รับความนิยมมาอย่างยาวนาน

ก๋วยจั๊บน้ำข้น

ก๋วยจั๊บ ของไทยจะมีอยู่ด้วยกัน 3 แบบ คือ ก๋วย จั๊บน้ำข้น พะโล้ ก๋วยจั๊บน้ำใสซุปกระดูกหมู และก๋วยจั๊บญวน ซึ่งแต่ละแบบจะมีสูตรการทำแตกต่างกันอยู่เล็กน้อย อาจเรียกได้ว่าเป็น อาหารไทยโบราณ ที่ได้รับอิทธิพลมาจากต่างประเทศ ซึ่งในปัจจุบันยังคงได้รับความนิยมอยู่ไม่น้อย สำหรับเมนู ก๋วยจั๊บน้ำข้น โดยทั่วไปจะประกอบด้วยเส้นก๋วยจั๊บ เครื่องใน หมูสามชั้นหรือหมูกรอบ เลือดหมู เต้าหู้ ไข่ และน้ำพะโล้แบบเข้มข้น 

แบ่งสูตร ก๋วยจั๊บน้ำข้น พะโล้โบราณ รสชาติอร่อยกลมกล่อม ทำทานเองได้ง่าย ๆ

ก๋วยจั๊บน้ำข้น

เชื่อว่าหลายคนเคยทานก๋วยจั๊บน้ำใส ก๋วยจั๊บญวน และ ก๋วยจั๊บ น้ำข้น มาแล้ว โดยความแตกต่างของก๋วยจั๊บแต่ละแบบจะอยู่ที่น้ำซุปและเส้นเป็นหลัก อย่างไรก็ตามยังคงมีบางคนที่สับสนอยู่ ต้องบอกว่าก๋วยจั๊บเป็นเมนูที่หาทานได้ค่อนข้างง่าย เราจะเห็นได้ตามร้านอาหารทั่วไป ทั้งนี้ถ้าหากใครอยากลองทำก๋วยจั๊บน้ำข้นทานเอง เรามี สูตรก๋วยจั๊บโบราณ มานำเสนอด้วย 

วัตถุดิบและส่วนผสม

  1. เส้นก๋วยจั๊บสำเร็จรูป 500 กรัม
  2. ไส้หมู 300 กรัม
  3. หมูสามชั้น 200 กรัม
  4. ตับหมู 200 กรัม
  5. เลือดหมู 2 ขีด
  6. เต้าหู้ทอด 2 ขีด
  7. ไข่ต้ม 2 ฟอง
  8. น้ำสต๊อก 2 ลิตร
  9. พริกไทยเม็ด 2 ช้อนโต๊ะ
  10. กระเทียมบุบ 4 กลีบ
  11. รากผักชี 2 ราก
  12. โป๊ยกั๊ก 2 ดอก
  13. อบเชย 1 ท่อน
  14. เครื่องพะโล้ 1 ชุด
  15. ผงพะโล้ 1 ช้อนชา
  16. เกลือ 1 ช้อนชา
  17. น้ำตาลทราย 3 ช้อนโต๊ะ
  18. ซีอิ๊วขาว 3 ช้อนโต๊ะ
  19. ซีอิ๊วดำ 1 ช้อนชา
  20. ซอสหอยนางรม 1 ช้อนโต๊ะ
  21. ต้นหอม/ผักชี (สำหรับจัดเสิร์ฟ)
ก๋วยจั๊บน้ำข้น

ส่วนผสมเส้นก๋วยจั๊บ

  1. แป้งข้าวเจ้า 4 ช้อนโต๊ะ
  2. น้ำเปล่า 1/2 ถ้วย 

วิธีทำการทำก๋วยจั๊บน้ำข้น

ก๋วยจั๊บน้ำข้น
  1. ขั้นตอนแรกนำไส้หมูมาล้างทำความสะอาดด้วยเกลือและน้ำส้มสายชู โดยใช้มือขยำส่วนผสมให้เข้ากับไส้หมู เสร็จแล้วนำไปล้างด้วยน้ำสะอาด นำหมูสามชั้น ตับหมูและเลือดหมู มาหั่นเป็นชิ้นขนาดพอดีคำ เตรียมไว้
  2. ต้มน้ำด้วยไฟอ่อน เมื่อน้ำเดือดแล้วให้นำไส้หมูลงไปลวกจนสุก เสร็จแล้วปิดไฟและตักไส้หมูออกจากหม้อ พักไว้ให้สะเด็ดน้ำ
  3. ตั้งหม้อ ใส่น้ำมันลงไปเล็กน้อย ตามด้วยกระเทียมบุบ พริกไทยเม็ด รากผักชี โป๊ยกั๊กและอบเชย ผัดให้มีกลิ่นหอมแล้วเทน้ำสต๊อกลงไป 
  4. จากนั้นใส่เครื่องพะโล้ ผงพะโล้ ซีอิ๊วขาว ซอสหอยนางรม น้ำตาลทรายและซีอิ๊วดำ คนให้ส่วนผสมละลายเข้ากัน ใส่ไข่ต้มลงไป ตามด้วยหมูสามชั้น ต้มจนหมูสามชั้นสุกแล้วใส่ตับหมูและไส้หมูลวกลงไป คนเล็กน้อยและรอจนสุก
  5. ใส่เลือดหมูและเต้าหู้ทอดลงไป คนเล็กน้อย จากนั้นต้มต่อไปเรื่อย ๆ จนเลือดหมูสุก ในระหว่างต้มหมั่นตักฟองออกด้วย เมื่อทุกอย่างสุกได้ที่แล้วพักไว้
  6. นำแป้งข้าวเจ้ามาผสมกับน้ำเปล่าให้ละลายเข้ากันดี จากนั้นตั้งหม้อต้มน้ำให้เดือด นำเส้นก๋วยจั๊บลงไปลวก คนเล็กน้อยเพื่อป้องกันเส้นติดกัน เมื่อเส้นก๋วยจั๊บเริ่มสุกแล้ว ค่อย ๆ เติมแป้งที่ผสมกับน้ำเปล่าไว้ลงไป 
  7. ในระหว่างที่เติมให้คนไปพร้อม ๆ กัน เมื่อเส้นก๋วยจั๊บสุกได้ที่แล้วให้ปิดไฟและตักเส้นใส่ถ้วย ตามด้วยเครื่องพะโล้ที่เตรียมไว้ โรยหน้าด้วยต้นหอมผักชี ถือเป็นอันเสร็จพร้อมทาน 

เทคนิคการปรุงรส ก๋วยจั๊บน้ำข้น ให้อร่อยกลมกล่อมกำลังดี รสชาติไม่โดดจนเกินไป

ก๋วยจั๊บน้ำข้น

ก๋วยจั๊บเป็นเมนู อาหารไทยง่ายๆ ที่ได้รับอิทธิพลมาจากอาหารจีน แต่ทว่าคนไทยจำนวนมากจะนิยมใส่พริกผง น้ำตาล น้ำปลาและน้ำส้มสายชู ก่อนรับประทาน ดังนั้น สูตรอาหารไทย จึงแตกต่างจากอาหารจีน เพราะต้องปรุงรสให้กลมกล่อม สามารถทานได้ทั้งแบบปรุงเพิ่มและไม่ต้องปรุงเพิ่ม เทคนิคการปรุงก๋วยจั๊บน้ำข้น ก็คือการกำหนดปริมาณเครื่องปรุงต่าง ๆ ให้เหมาะสม หากไม่มั่นใจควรชิมรสก่อนแล้วค่อยปรุงทีละนิด เพราะ สูตร ก๋วยจั๊บน้ำข้น ที่เราแนะนำจะเป็นน้ำซุปพะโล้ หากปรุงผิดอาจทำให้มีรสชาติหวานหรือเค็มโดดได้ 

ก๋วยจั๊บน้ำข้นสูตรดั้งเดิม เพิ่มเติมความอร่อย ทานแล้วได้รับสารอาหารครบ 5 หมู่

ก๋วยจั๊บน้ำข้น

ปัจจุบันกวยจั๊บถือเป็นหนึ่งใน เมนูอาหารไทย ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก หลายคนนิยมทานเป็นมื้อเที่ยงแทนข้าว เพราะทานแล้วช่วยให้อิ่มท้องได้ ก๋วยจั๊บ น้ำข้น ไม่ได้มีดีแค่ความอร่อยเท่านั้น แต่เครื่องต่าง ๆ ล้วนมีสารอาหารที่ให้พลังงานแก่ร่างกายได้เป็นอย่างดี สำหรับ ก๋วยจั๊บน้ำข้น สูตรโบราณ สูตรนี้จะประกอบด้วยเส้นกวยจั๊บที่มีคาร์โบไฮเดรต เนื้อหมูสามชั้นมีโปรตีน ไขมันและแร่ธาตุ เครื่องในอุดมไปด้วยธาตุเหล็ก เต้าหู้มีโปรตีนสูง และไข่ไก่มีโปรตีน ธาตุเหล็ก วิตามินบีและวิตามินดี

อ่านบทความอื่นๆ:

สนับสนุนโดย: sa-game.bet

Categories
สูตรอาหาร

แกงส้ม แป๊ะซะปลาช่อน เมนูอาหารโบราณหาทานยาก รสชาติเข้มข้น อร่อยถึงใจ 

แป๊ะซะปลาช่อน

ปัจจุบันอาหารไทยโบราณหลาย ๆ เมนูเริ่มหาทานได้ยากขึ้น เนื่องจากเมนูเหล่านั้นใช้วัตถุดิบค่อนข้างเยอะ อีกทั้งยังมีขั้นตอนการทำที่ซับซ้อน บางเมนูต้องใช้ความประณีตพอสมควร เพราะขึ้นชื่อว่าเป็นอาหารไทย ไม่เพียงแค่รสชาติเท่านั้นที่มีความสำคัญ แต่ในเรื่องของหน้าตาก็ต้องดูน่ารับประทานด้วย อย่างไรก็ตามยังมีบางเมนูที่มีขั้นตอนการทำไม่ซับซ้อน คนรุ่นใหม่ก็สามารถทำได้ อย่างเช่นเมนู แป๊ะซะปลาช่อน เรียกว่าเป็นหนึ่งในเมนูอาหารไทยที่ทำได้ง่าย แต่หาทานยากในปัจจุบัน 

ทำความรู้จักเมนู แป๊ะซะปลาช่อน อาหารไทยโบราณ หน้าตาน่าทาน ทำเองได้ง่าย

แป๊ะซะปลาช่อน

แป๊ะซะ เป็นคำที่คนไทยเรียกเป็นชื่อหรือตำรับอาหารจากปลา ซึ่งได้มาจากคำว่า “แปะซะ” ที่ชาวแต้จิ๋วใช้กัน หมายถึงการต้มอาหารในน้ำเปล่าโดยไม่ปรุงรส หรือปรุงเพียงแค่เกลือสมุทรเท่านั้น สำหรับเมนู อาหารไทยโบราณ อย่าง แป๊ะซะ ปลาช่อน เดิมจะใช้วิธีต้มหรือนึ่งเปล่า ๆ แล้วจิ้มน้ำส้ม ทานคู่กับผักสด ส่วนใหญ่นิยมใช้ปลาช่อน ต่อมาชื่อดังกล่าวก็ถูกใช้กับเมนูปลานึ่งใส่บ๊วย พริก ขิงซอยและอื่น ๆ รวมทั้งเมนู แกงส้ม แป๊ะซะ ที่มีทั้งปลาช่อนสดและปลาช่อนทอดก็ถูกเรียกในชื่อดังกล่าวด้วยเช่นกัน 

แจกสูตร แกงส้ม แป๊ะซะปลาช่อน ทอด พร้อมเทคนิคทอดปลาให้กรอบฟู ไม่ติดกระทะ

แป๊ะซะปลาช่อน

เมนูอาหารไทย สมัยโบราณหลาย ๆ เมนูมักจะถูกดัดแปลงให้แตกต่างจากในอดีต จึงไม่แปลกที่เราจะหาทานอาหารไทยสูตรดั้งเดิมได้ยากขึ้น ทั้งนี้อาหารหลายชนิดล้วนถูกพัฒนาและปรับเปลี่ยนสูตรไปตามกาลเวลา เพื่อให้เกิดความสะดวกสบายต่อการปรุงมากขึ้น ซึ่งอาจเรียกได้ว่าเป็นวิวัฒนาการของอาหาร เช่นเดียวกับเมนูแป๊ะซะปลาช่อน หากนำสูตรการทำในสมัยก่อนและสูตรปัจจุบันมาเปรียบเทียบกันก็จะเห็นถึงความแตกต่าง มาดูกันว่าสูตร แกงส้ม แป๊ะซะ ปลา ช่อน มีขั้นตอนการทำอย่างไรบ้าง 

วัตถุดิบและส่วนผสม

แป๊ะซะปลาช่อน
  1. ปลาช่อน 2 ตัว
  2. พริกแกงส้ม 150 กรัม
  3. ผักกาดขาว 1 ถ้วย
  4. ยอดผักกระเฉด 1-2 ถ้วย
  5. ดอกแค 1 ถ้วย
  6. ถั่วฝักยาว 1-2 ถ้วย
  7. ไหลบัว 1-2 ถ้วย
  8. เกลือ 2/3 ช้อนโต๊ะ
  9. น้ำตาลปี๊บ 2 ช้อนโต๊ะ
  10. น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ
  11. น้ำปลา 6 ช้อนโต๊ะ
  12. น้ำมะขามเปียก 12 ช้อนโต๊ะ
  13. น้ำเปล่า 1,500 กรัม
  14. น้ำมันสำหรับทอด 

วิธีทำ แป๊ะซะ ปลาช่อน

แป๊ะซะปลาช่อน
  1. ขั้นตอนแรกขอดเกล็ดปลาช่อน พร้อมนำไส้ข้างในออก จากนั้นล้างทำความสะอาดให้เรียบร้อย ตัดครีบบริเวณท้องและกลางหลังของปลาออก เสร็จแล้วใช้กระดาษทิชชู่ซับให้หมาดและทำการบั้ง พักไว้
  2. นำผักที่เตรียมไว้มาล้างน้ำให้สะอาด เสร็จแล้วนำผักกาดขาว ถั่วฝักยาวและไหลบัว มาหั่นเป็นชิ้นหรือเป็นท่อนให้เรียบร้อย จากนั้นเด็ดเกสรดอกแคออก พักไว้
  3. ต้มน้ำให้เดือดจัด ใส่น้ำตาลทรายลงไปเล็กน้อย นำผักกาดขาว ถั่วฝักยาว ไหลบัวและดอกแค ลงไปลวกในน้ำร้อนให้พอสุก เสร็จแล้วน็อคในน้ำเย็นและตักใส่ภาชนะ พักไว้
  4. ต้มน้ำให้เดือดจัด จากนั้นนำปลาช่อนลงไปต้มให้สุก ใช้เวลาต้มประมาณ 8-10 นาที ในระหว่างต้มไม่ต้องคน เพราะจะทำให้มีกลิ่นคาว 
  5. หลังจากต้มปลาช่อนจนสุกแล้วให้ปิดไฟ นำออกจากหม้อและพักไว้ให้สะเด็ดน้ำ ส่วนน้ำต้มปลาช่อนให้เก็บไว้ทำน้ำแกงส้ม แกะเนื้อปลาช่อนใส่ในครกพร้อมพริกแกงส้ม จากนั้นโขลกให้เข้ากันจนเนื้อเนียน พักไว้
  6. ตั้งกระทะแล้วใส่น้ำมันลงไป เปิดไฟกลาง เมื่อน้ำมันร้อนจัดแล้วให้นำปลาช่อนลงไปทอด ในระหว่างนี้ไม่ต้องคนหรือขยับตัวปลา ให้ทอดไปเรื่อย ๆ จนหนังปลาด้านบนสุกดี ใช้เวลาทอดประมาณ 7-8 นาที 
  7. เมื่อปลาสุกเหลืองแล้วให้พลิกกลับด้านและทอดต่ออีกประมาณ 4-5 นาที จากนั้นปิดไฟแล้วนำปลาทอดขึ้นมาสะเด็ดน้ำมัน เทคนิคนี้จะช่วยให้ปลากรอบฟู ไม่ติดกระทะและไม่อมน้ำมัน
  8. นำน้ำต้มปลาช่อนมาตั้งหม้อ ต้มด้วยไฟกลางให้เดือดอีกครั้ง จากนั้นใส่พริกแกงที่โขลกรวมกับเนื้อปลาช่อนลงไป คนให้พริกแกงกระจายตัว หากมีฟองขึ้นมาให้ตักออก 
  9. เมื่อต้มจนเดือดแล้วผ่อนไฟให้เบาลง ปรุงรสด้วยน้ำตาลปี๊บ น้ำตาลทราย เกลือ น้ำปลาและน้ำมะขามเปียก ชิมรสชาติและปรุงตามความชอบ ต้มจนน้ำแกงเดือดและปิดไฟ
  10. ขั้นตอนสุดท้าย นำผักต่าง ๆ ที่ลวกไว้ รวมถึงยอดผักกระเฉดมาจัดใส่จาน ตามด้วยปลาช่อนทอด จากนั้นตักน้ำแกงส้มราดลงไป ถือเป็นอันเสร็จ

เทคนิคทำปลาช่อนให้สะอาด ปราศจากกลิ่นคาว ใช้ทำเมนู แกงส้มแป๊ะซะปลาช่อน ได้อร่อยลงตัว

แป๊ะซะปลาช่อน

ไม่ว่าจะทำเมนู แป๊ะซะปลาช่อนนึ่ง หรือ แป๊ะซะปลาช่อนทอด เมื่อได้ปลามาแล้วควรทำการขอดเกล็ดแล้วล้างน้ำให้สะอาด จากนั้นควักไส้ออก ด้วยความที่ปลาช่อนมีเมือกค่อนข้างเยอะ การจะนำมาทำเมนู ปลาช่อน แป๊ะซะ จึงต้องใช้เกลือสมุทรและแป้งมัน แป้งสาลี หรือแป้งข้าวโพด ในการทำความสะอาดโดยการโรยเกลือและแป้งให้ทั่วตัวปลา จากนั้นขัดจนเมือกมัน ๆ ออกหมด และล้างออกด้วยน้ำสะอาด เมื่อนำไปทำเมนู แป๊ะซะปลา ก็จะทำให้ไม่มีกลิ่นคาว 

แกงส้ม แป๊ะซะปลาช่อน เมนูอาหารทานกับข้าว ปลาทอดกรอบฟู น้ำแกงส้มสุดเข้มข้น

แป๊ะซะปลาช่อน

เมนูดังกล่าวถือเป็นเมนู อาหารไทยง่ายๆ แต่หาทานได้ยากในปัจจุบัน สำหรับเด็กรุ่นใหม่อาจยังไม่รู้จักเลยด้วยซ้ำ เพราะตามร้านอาหารต่าง ๆ มีให้เห็นน้อยมาก หรืออาจไม่มีเลยก็ได้ อย่างไรก็ตามเมนูนี้มีวิธีการทำที่ไม่ยากมากนัก หากใครสนใจก็สามารถใช้ สูตรอาหารไทย ที่เราแนะนำไปลองทำตามได้เลย เรียกได้ว่าเป็นเมนูอาหารโบราณที่มีวิธีทำไม่ซับซ้อน หากคุณอยากทานแป๊ะซะปลาช่อน ก็สามารถทำได้ด้วยตัวเองเลย

อ่านบทความอื่นๆ:

สนับสนุนโดย: hilo-88.net

Categories
สูตรอาหาร

แนะนำสูตรการทำข้าวยำเกาหลี บิบิมบั บ แบบง่าย ๆ สไตล์โฮมคุก 

บิบิมบั บ

หากกล่าวถึงเมนูอาหารเกาหลีแล้ว ต้องบอกว่ามีหลายเมนูเลยที่ดูน่ารับประทาน แถมยังมีวิธีทำที่ง่ายอีกด้วย บางเมนูอาจจะดูเหมือนทำยาก เพราะเต็มไปด้วยวัตถุดิบต่าง ๆ มากมาย แต่ในความเป็นจริงบางเมนูก็ไม่ได้ยากเสมอไป สำหรับโฮมคุกทั้งหลายที่อยากลองทำอาหารเกาหลีง่าย ๆ ทานเองที่บ้าน หนึ่งในเมนูที่น่าสนใจก็คือ บิบิมบั บ หรือข้าวยำเกาหลีนั่นเอง มาดูกันว่าเมนูนี้มีหน้าตาเป็นอย่างไร และมีวิธีทำยังไงบ้าง 

ทำความรู้จักเมนู บิบิมบั บ อาหารเกาหลียอดนิยมที่เต็มไปด้วยวัตถุดิบอันหลากหลาย

บิบิมบั บ

บิบิมบับคือ เมนูข้าวยำของเกาหลีที่มีการนำข้าว เนื้อสัตว์ ไข่ และผักเครื่องเคียงต่าง ๆ มาคลุกเคล้าให้เข้ากันแล้วรับประทาน แต่ก่อนรับประทานจะปรุงรสด้วยโคชูจัง เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งเมนูอาหารที่นิยมทานคู่กับกิมจิ ทั้งนี้ บิบิมบับ แต่ละสูตรจะแตกต่างกันออกไป ในส่วนของเนื้อสัตว์และผักสามารถปรับเปลี่ยนตามความชอบของแต่ละคนได้ แม้ว่าจะใช้วัตถุดิบค่อนข้างเยอะ แต่ก็ถือเป็น อาหารเกาหลีง่ายๆ ที่มีขั้นตอนการทำไม่ยากและไม่ซับซ้อนเลย 

แจกสูตร บิบิมบั บ เมนูอาหารเกาหลีที่มีหน้าตาน่าทาน ใครทำก็อร่อยได้

บิบิมบั บ

หากใครที่ชอบเข้าครัวหรือมือใหม่ที่อยากลองทำอาหารเกาหลี เมนูข้าวยำถือเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับการเริ่มต้น อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่าเมนูนี้ใช้วัตถุดิบค่อนข้างเยอะ แต่วิธีทำนั้นไม่ยากเลย สำหรับ สูตร บิบิมบับ ที่เราจะแนะนำต่อไปนี้ ถือเป็นสูตรที่หลายคนสามารถทำได้ด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นโฮมคุกหรือมือใหม่ที่เพิ่งเริ่มก็สามารถทำเมนูบิบิมบับ ทานเองได้ง่าย ๆ มาดูกันว่า อาหารเกาหลียอดฮิต เมนูนี้มีขั้นตอนการทำอย่างไรบ้าง

วัตถุดิบการทำ ข้าวยํา บิบิมบับ

บิบิมบั บ
  1. ข้าวญี่ปุ่นหุงสุก 200 กรัม
  2. หมูสามชั้นสไลด์ 80 กรัม
  3. เห็ดหอมหั่น 100 ดอก
  4. แครอทหั่นเส้น 100 กรัม
  5. แตงกวาญี่ปุ่นหั่นเส้น 100 กรัม
  6. ผักโขมหั่น 100 กรัม
  7. ถั่วงอก 100 กรัม
  8. งาขาวคั่ว 10 กรัม
  9. น้ำส้มสายชู 5 ช้อนโต๊ะ
  10. โคชูจัง 2 ช้อนโต๊ะ
  11. น้ำมันงา 2 ช้อนโต๊ะ
  12. น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ
  13. ซีอิ๊วขาว 1 ช้อนโต๊ะ
  14. เกลือ 1/2 ช้อนชา
  15. ไข่แดง 1 ฟอง
  16. กิมจิสำเร็จรูป 120 กรัม

วิธีการ ทํา บิ บิ ม บั บ ง่ายๆ

บิบิมบั บ
  1. ขั้นตอนแรกเตรียมผัดเครื่องเคียง โดยเริ่มจากตั้งกระทะและเปิดไฟกลาง นำแตงกวาญี่ปุ่นลงไปผัด ปรุงรสด้วยเกลือ 1/2 ช้อนชา น้ำส้มสายชู 1 ช้อนโต๊ะ และน้ำมันงา 1 ช้อนชา ผัดให้สลดเล็กน้อยแล้วตักใส่ภาชนะ พักไว้
  2. ต่อมานำถั่วงอก แครอท เห็ดหอม และผักโขม ลงไปผัดในกระทะใบเดิม โดยผัดทีละอย่างให้พอสลดแล้วปรุงรสเหมือนกับแตงกวาญี่ปุ่นทั้งหมด
  3. ขั้นตอนต่อมาเตรียมผัดหมูสามชั้นสไลด์ โดยเริ่มจากตั้งกระทะและเปิดไฟกลาง นำหมูสามชั้นสไลด์ลงไปผัดโดยไม่ต้องใส่น้ำมัน เมื่อผัดจนหมูเริ่มสุกแล้วให้ปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาวและน้ำตาลทราย เสร็จแล้วตักใส่ภาชนะ พักไว้
  4. ขั้นตอนการจัดจาน เตรียมภาชนะหม้อดินเกาหลี จากนั้นทาน้ำมันงาลงไปที่ก้นหม้อ ใส่ข้าวญี่ปุ่นหุงสุกลงไป ตามด้วยเครื่องเคียงต่าง ๆ ที่เตรียมไว้ ได้แก่ แตงกวา ถั่วงอก แครอท เห็ดหอม ผักโขม หมูสามชั้น และกิมจิ
  5. โรยงาบนผักต่าง ๆ เล็กน้อย จากนั้นตักโคชูจังใส่ลงไป ตามด้วยไข่แดงดิบ เพียงเท่านี้ก็ถือเป็นอันเสร็จพร้อมรับประทาน 

เคล็ดลับง่าย ๆ ทำอย่างไรให้ บิบิมบั บ อร่อยเหมือนต้นตำรับเกาหลี

บิบิมบั บ

เมนูข้าวยำของเกาหลีแต่ละสูตรจะมีความแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับคนทำว่าชอบและสะดวกแบบไหน หากเราต้องการให้ บิ บิ ม บั บ ทำเอง มีรสชาติอร่อยใกล้เคียงกับต้นตำรับเกาหลี สิ่งสำคัญคือการเลือกใช้วัตถุดิบและส่วนผสม ถ้าจะให้ดีควรเลือกใช้วัตถุดิบและส่วนผสมของ อาหารเกาหลีในซีรีส์ แท้ ๆ เพื่อให้ได้รสสัมผัสใกล้เคียงกับบิบิมบับเกาหลีมากที่สุด ทั้งนี้เราสามารถเลือกใช้เนื้อสัตว์และผักต่าง ๆ ตามความชอบได้ 

เทคนิคการเลือกใช้วัตถุดิบเพื่อทำเมนูบิบิมบั บ ให้อร่อยลงตัว

ถึงแม้ว่าจะเลือกใช้วัตถุดิบและส่วนผสมเหมือนกับต้นตำรับ แต่ทว่าความชอบของแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน ฉะนั้นหากจะทำ เมนูอาหารเกาหลี ให้อร่อยถูกปากตัวเองมากที่สุด แนะนำให้เลือกใช้วัตถุดิบตามความชอบเป็นหลัก สำหรับเนื้อสัตว์เราสามารถใช้เนื้อหมู เนื้อวัว หรือเนื้อไก่ก็ได้ ส่วนผักก็มีอยู่ด้วยกันหลายชนิด เราสามารถเลือกผักที่ชอบมาทำ ข้าวยําเกาหลี และถ้าหากใครชอบทานเผ็ดก็สามารถใส่โคชูจังในบิบิมบั บ ตามปริมาณที่ต้องการได้เลย 

อ่านบทความอื่นๆ:

สนับสนุนโดย: sa-game.bet

Categories
สูตรอาหาร

แจกสูตร ต๊อกโบกี อาหารเกาหลีทำง่าย พร้อมเคล็ดลับปรุงรสสุดฟินเหมือนกินที่เกาหลี 

ต๊อกโบกี

ปัจจุบันเราปฏิเสธไม่ได้ว่าคนไทยจำนวนไม่น้อยให้ความสนใจกับอาหารต่างชาติเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอาหารเกาหลีที่คนไทยได้รับอิทธิพลมาจากการดูซีรีส์ ทว่าอาหารเกาหลียอดนิยมที่หลายคนนึกถึงนั้น เชื่อว่าหนึ่งในนั้นจะต้องมีเมนู ต๊อกโบกี เรียกได้ว่าเป็นอาหารที่มีหน้าตาน่าทานมาก ๆ ไม่เพียงแค่คนเกาหลีและคนไทยเท่านั้นที่ชื่นชอบ ชาวต่างชาติเองก็ให้ความสนใจอยู่เช่นกัน 

ทำความรู้จักกับ ต๊อกโบกี หนึ่งในเมนูอาหารเกาหลีที่ได้รับความนิยม

ต๊อกโบกี

ต๊อกโบกีคือ อาหารเกาหลีที่ทำจากแป้งต็อก หรือเรียกอีกอย่างว่า “เค้กข้าว” บอกได้เลยว่าเป็นอาหารเกาหลียอดนิยมที่มีรสชาติอร่อยและทำง่ายมาก ๆ โดยแป้งของต๊อกโบกีนั้นจะมีความเหนียวนุ่ม ซึ่งตัวแป้งจะผสมกับซอสรสเข้มข้น ทำให้มีรสชาติอร่อยลงตัว พอเคี้ยวแล้วฟินมาก นับเป็นเมนู อาหารเกาหลีในซีรีส์ ที่หลายคนรู้จักกันเป็นอย่างดี เพราะเมนูนี้อยู่คู่กับคนเกาหลีมาอย่างยาวนาน 

แนะนำสูตรการทำ ต๊อกโบกี ง่าย ๆ แต่มีรสชาติอร่อยเหมือนได้กินที่เกาหลี

ใครที่เป็นคอซีรีส์เกาหลีน่าจะคุ้นเคยกับ เมนูอาหารเกาหลี นี้เป็นอย่างดี ซึ่งถือเป็นหนึ่งในอาหารเกาหลียอดนิยมที่หลายคนให้ความสนใจ ปัจจุบันเราไม่จำเป็นต้องบินไกลไปถึงเกาหลีแล้ว ถ้าอยากกิน ต๊อก โบกี ก็เพียงแค่ไปซื้อที่ห้างสรรพสินค้า หรือใครอยากลงมือทำเองง่าย ๆ ที่บ้านก็เตรียมตัวไว้เลย เพราะวันนี้เรามี สูตรต๊อกโบกี ง่ายๆ มาฝากทุกคนด้วย มาดูกันว่าเราจะต้องใช้วัตถุดิบและส่วนผสมอะไรบ้าง และมีขั้นตอนวิธีการทำอย่างไร 

ต๊อกโบกี

วัตถุดิบการทำต๊อกโบกี 

  1. แป้งต๊อก 400 กรัม
  2. ออมุก/ลูกชิ้นปลาแผ่น 3 แผ่น
  3. ไข่ไก่ 2 ฟอง
  4. ผงปรุงรส 1/2 ช้อนโต๊ะ
  5. พริกป่น 2 ช้อนโต๊ะ
  6. น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ
  7. โคชูจัง 2 ช้อนโต๊ะ
  8. น้ำเชื่อม 1 ช้อนโต๊ะ
  9. น้ำเปล่า 150 มิลลิลิตร
  10. ต้นหอมซอย (ตามความชอบ) 

วิธีทำต๊อกโบกี ง่ายๆ

1.ขั้นตอนแรกนำไข่ไก่มาต้มให้สุก และในระหว่างที่รอไข่สุกให้เตรียม แป้งต๊อกโบกี โดยนำแป้งต๊อกมาแช่น้ำให้นิ่ม ต่อมานำออมุกมาหั่นยาว เสร็จแล้วพักไว้

ต๊อกโบกี
  1. ขั้นตอนต่อมาเตรียมส่วนผสมของซอส เริ่มจากนำพริกป่นมากรองด้วยตะแกรงให้ได้เนื้อละเอียดขึ้น เสร็จแล้วใส่ในถ้วยผสม ใส่น้ำตาลทรายเพิ่มลงไป 
  2. ตามด้วยผงปรุงรส น้ำเชื่อม และโคชูจัง เสร็จแล้วผสมทุกอย่างให้เข้ากัน ขั้นตอนนี้สามารถเติมน้ำลงไปเล็กน้อยได้ เมื่อต้มไข่จนสุกแล้วให้นำมาปอกเปลือกเตรียมไว้ ต่อมานำแป้งต๊อกที่แช่น้ำจนนิ่มขึ้นมาสะเด็ดน้ำ
  3. ตั้งกระทะแล้วเปิดไฟกลาง ใส่น้ำเปล่าลงไป 150 มิลลิลิตร ตามด้วยซอสที่ผสมไว้เมื่อสักครู่ จากนั้นคนให้ละลาย เมื่อเริ่มเดือดแล้วให้ใส่แป้งต๊อกลงไปต้ม
  4. เมื่อ แป้งต๊อก เริ่มสุกแล้วให้ใส่ออมุกลงไป คนให้เข้ากันเล็กน้อย ในระหว่างนี้หมั่นสังเกตดูอย่าให้ตัวน้ำซอสแห้งจนเกินไป หากน้ำซอสแห้งให้เติมน้ำเปล่าลงไป
  5. เมื่อทุกอย่างสุกแล้วให้ใส่ไข่ต้มลงไป คนให้เข้ากัน โรยต้นหอมซอยลงไปและคนอีกครั้ง จากนั้นปิดแก๊สและจัดใส่จานเสิร์ฟได้เลย 

เมนูอาหารเกาหลียอดฮิต ต๊อกโบกี ปรุงรสเองให้อร่อยฟินเหมือนบินไปกินที่เกาหลีได้ไม่ยาก

ต๊อกโบกี

ต๊อกบกกี หรือต๊อกโบกี เป็นอาหารเกาหลีที่โดดเด่นในเรื่องของรสชาติ โดยเฉพาะรสสัมผัสของแป้งนิ่ม ๆ ที่ทำให้หลายคนประทับใจ เมื่อเคี้ยวแล้วจะมีความหนุบหนับ แต่ทว่าความอร่อยของเมนูต๊อกโบกี นั้นไม่ได้อยู่ที่ตัวแป้งเพียงอย่างเดียว สิ่งสำคัญที่ทำให้แป้งอร่อยก็อยู่ที่ตัวซอสด้วย สำหรับ สูตรต๊อกโบกี ที่เราแนะนำนี้จะใช้ส่วนผสมที่สามารถหาซื้อได้ง่ายในห้างสรรพสินค้าทั่วไป ไม่ว่าใครก็สามารถทำตามได้เลย 

วิธีรับประทานต๊อกอย่างไรให้อิ่มอร่อยและได้ประโยชน์

ต๊อกโบกี

หลายคนอาจลืมคิดไปว่าเมนู อาหารเกาหลียอดฮิต เมนูนี้ไม่ได้มีดีเพียงแค่รสชาติเท่านั้น แต่ทว่าคุณประโยชน์ที่จะได้รับจากการทานก็มีอยู่ไม่น้อย สำหรับใครที่อยากทานต๊อกโบกีให้อิ่มอร่อยและได้รับสารอาหารครบ 5 หมู่ แนะนำให้เพิ่มเนื้อสัตว์และผักลงไปด้วย ทั้งนี้ปริมาณแคลอรี่จะเพิ่มขึ้น สำหรับผู้ที่กำลังควบคุมน้ำหนักก็สามารถทานได้ เพียงแค่ใส่ออมุกและไข่ต้มตามสูตรที่เราแนะนำไปเท่านั้น ซึ่งเมนู อาหารเกาหลีง่ายๆ จะได้รับพลังงานน้อยลง

อ่านบทความอื่นๆ:

สนับสนุนโดย: hilo-88.net